วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

อาหารเช้ามื้อสำคัญ

ความสำคัญของอาหารเช้า
เคยมีคำพูดเปรียบเทียบไว้ว่า
อาหารมื้อเช้า ให้กินอย่าง ราชา
อาหารมื้อกลางวัน ให้กินอย่าง กรรมกร
อาหารมื้อเย็น ให้กินอย่าง ยาจก
หรือ อาหารมื้อเช้า บำรุงสมอง
อาหารมื้อกลางวัน บำรุงกำลัง
อาหารมื้อเย็น บำรุงเพศ

หรือจากชาวเกาหลี อาหารมื้อเช้า 40 – 50 %

อาหารมื้อกลางวัน 30 – 40 %
อาหารมื้อเย็น 10 – 20 %
แต่ในปัจจุบัน ด้วยสาเหตุใดก็ตาม คนส่วนใหญ่กลับทำตรงกันข้าม

ความสำคัญของอาหารมื้อเช้า คือ
- เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการรับประทานอาหารมื้อเช้าคือ 7.00 – 9.00 น เพราะเป็นช่วงเวลาที่กระเพาะอาหาร เริ่มทำงาน
- ถ้าไม่มีอาหารลงไปในกระเพาะ การบีบรัดตัวของกระเพาะจะไปเอาอุจจาระกลับเข้ามาย่อยซ้ำ
- สารที่ย่อยจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษจากอุจจาระ (แทนที่จะเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์) ฉะนั้น คนที่ท้องผูกบ่อย อุจจาระที่ถ่ายออกมาจะเป็นเม็ดแข็งเพราะถูกย่อยซ้ำและถูกดูดน้ำออกไปซ้ำอีก

ผลเสียของการไม่รับประทานอาหารมื้อเช้า
- ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นในการเสริมสร้างพลังงานและซ่อมแซมสิ่งที่สึกหรอ
- เลือดไม่สะอาด ทำให้อวัยวะต่างๆไม่แข็งแรง
- สมองไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอ ทำให้ไอคิวต่ำ เฉื่อย ขาดความว่องไว ความจำไม่ดี ขาดความกระตือรือร้น
- ถ้าไม่ได้รับประทานอาหารเช้าเป็นเวลานาน กระเพาะจะไม่แข็งแรง การขับถ่ายไม่ดี ตัวเหลว กล้ามเนื้อเหลว ผิวเหี่ยวและคล้ำ แก่เร็ว ภูมิต้านทานลด ปวดหัว ปวดเข่า ความจำเสื่อม เป็นอัลไซเมอร์ ถ้าไม่สะดวกในการรับประทานอาหารเช้า แค่ โยเกิร์ต 1 ถ้วยกับกล้วยน้ำว้า 1 ลูกก็ยังดี โยเกิร์ตดีสำหรับกระเพาะและลำไส้ กล้วยน้ำว้าอุดมด้วยโปรตีนและวิตามิน เอ ซี และอี และย่อยง่าย ควรมีกล้วยน้ำว้าติดบ้านเสมอ การดื่มกาแฟแทนอาหารเช้าไม่ได้ประโยชน์ และอาจเป็นโทษด้วยจากสารคาเฟอีน

อาหารมื้อเช้า ช่วยควบคุมน้ำหนัก
อาหารมื้อเช้า ไม่เพียงแต่จะช่วยคุณรักษาสุขภาพและทำให้ผอมเพรียว แต่ยังเป็นวิธีการเห็นความสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะแบบง่าย ๆ ด้วย งานวิจัยจำนวนมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า นี่คืออาหารมื้อที่สำคัญที่สุดของวันด้วย เหตุผลต่อไปนี้
- ทำให้เราได้รับสารอาหารครบถ้วนขึ้น อาหารเช้าง่ายๆ อย่างขนมปังกับแยม
- ซีเรียล นม และผลไม้ ก็ให้สารอาหารมากมาย ทั้งแคลเซียม วิตามินบี 6 โฟเลต
- ไรโบฟลาวิน และธาตุเหล็ก และงานวิจัยบ่งชี้ว่าคนที่งดอาหารเช้ามักจะไม่ได้รับสารอาหารที่ต้องการเพียงพอในแต่ละวัน
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เด็กที่กินอาหารเช้าเรียนรู้ได้ดีกว่า สอบได้คะแนนมากกว่า และมีปัญหาด้านพฤติกรรมน้อยกว่า นี่คือผลการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลับฮาร์วาร์ด ส่วนผู้ใหญ่ก็จะตื่นตัวกว่า และทำงานได้ดีกว่าเช่นกัน ถ้าหาเวลากินอาหารเช้า ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก คนเรามักชอบงดอาหารเช้าเพื่อควบคุมน้ำหนัก แต่กลับทำให้การลดน้ำหนักล้มเหลว เพราะการงดอาหารเช้าทำให้หิวมากขึ้นใน ช่วงหลังๆ ของวัน และสงผลให้บริโภคมากขึ้น ในการวิจัยของมหาวิทยาลัยเท็กซัส ในเมืองเอลปาโซ ซึ่งศึกษาการจดบันทึกการกินอาหารของหญิงและชาย 586 คน พบว่ายิ่งคนเรากินอาหารมากขึ้นเท่าไหร่ในตอนเช้า พวกเขาก็ยิ่งบริโภคน้อยลงตลอดทั้งวัน



เริ่มต้นมื้อเช้าคุณภาพ
# การกินอาหารเช้าอาจช่วยให้มีพลังความสามารถเพิ่มมากขึ้นในช่วงสายหรือกลางวัน มีสมาธิในการทำงานและแก้ปัญหา มีความสนใจได้ยาวนานกว่า ทั้งยังช่วยลดความหงุดหงิดและเพิ่มความอดทนอดกลั้นได้ดีกว่าด้วย เอาล่ะ เมื่อเราเห็นประโยชน์แล้ว ก็หันมาใส่ใจกับอาหารเช้าได้แล้ว

# วางแผนไว้ล่วงหน้า ปรับปรุงคุณภาพทางโภชนาการของอาหารเช้าให้ประสบความสำเร็จ คือการเตรียมการไว้ล่วงหน้าสักหนึ่งคืน และใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในช่วงเช้าเพื่อลงมือจัดอาหารเช้าที่ง่ายและได้ประโยชน์ครบถ้วน ช่วยสร้างความรู้สึกสนุกสนาน การเลือกรับประทานอาหารอย่างฉลาดและมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน สำหรับการเริ่มต้นใหม่ จะช่วยทำให้เวลาที่เหลือในวันนั้นมีศักยภาพมากขึ้น


# เลือกอาหารเช้าอย่างง่าย คนส่วนใหญ่มักอ้างเหตุผลของการไม่ทานอาหารเช้าเพราะ “ไม่หิว” หรือ “ไม่มีเวลา” แต่อุปสรรคนั้นแก้ไขได้ง่ายเพียงแค่เลือกเมนูอาหารเช้าที่ปรุงง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก สำหรับคนที่ชินกับการไม่ทานอาหารเช้า เริ่มจากกินนิดๆ หน่อย ๆ ปริมาณน้อย ๆ และตั้งใจทำให้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของคุณให้ได้ก็พอ

# เน้นไขมันต่ำ เส้นใยสูง อาหารที่มีเส้นใยสูงดีต่อระบบย่อยอาหารและการควบคุมน้ำหนักตัว อาหารมื้อเช้าควรมีปริมาณเส้นใย 3-5 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค การเลือกรับประทานขนมปังโฮลวีต กับแยม Best foods สูตรเพิ่มเนื้อผลไม้เป็นอาหารมื้อแรกของวันจะช่วยให้ร่างกายของเราได้รับปริมาณสารอาหารประเภทเส้นใยสูง ไขมันต่ำ อีกทั้งยังได้วิตามินซีจากผลไม้ในแยมด้วยและให้พลังงาน โดยไม่ทำให้กระเพาะทำงานหนักเกินไป


ข้อมูลจาก : http://www.womaninfocus.com/

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

วิธีการสมัคร Gmail

1. เข้าไปที่ www.gmail.com

2. กดปุ่ม create an account

3.กรอกข้อมูลต่างๆให้ครบ แล้วกดปุ่ม I accept create my account แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะสำหรับวิธีการสมัคร Gmail.com ค่ะ

วิธีการสมัคร blogger.com

1. เข้าไปที่ http://www.blogger.com/

2. สร้างบัญชี Google โดยกรอกข้อมูลให้ครบ แล้วดำเนินการต่อ

3. ตั้งชื่อเว็บบล็อกของคุณ แล้วดำเนินการต่อ

4. เลือกแม่แบบที่ต้องการ แล้วดำเนินการ
แค่นี้ก็เสร็จสิ้นการสมัครบล็อก ต่อไปก็สร้างบล็อกให้สวยงาม

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

น้ำสมุนไพร


สมุนไพร เป็นทรัพยากรธรรมชาติ คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงส่วนของ พืชที่นำมาใช้เป็นยารักษาโรค แต่ในความจริงคือส่วนประกอบที่ได้จากพืช สัตว์ แร่ธาตุต่าง ๆ ที่นำมาใช้สำหรับทำเครื่องยา ตัวอย่างเช่น
- สมุนไพรจากพืช ได้แก่ ผัก ผลไม้ต่าง ๆ เช่น ขิง ใบเตย กะเพรา ว่านหางจระเข้ ผักคะน้า ผักตำลึง ส้ม แตงโม เป็นต้น
- สมุนไพรจากสัตว์ ได้แก่ เขากวาง เป็นต้น
- แร่ธาตุที่ใช้เป็นสมุนไพรได้แก่ น้ำปูนใส เกลือแกง ดีเกลือ เป็นต้นนอกจากนั้น ยังมีบางส่วนของสมุนไพรที่รับประทานไม่ได้ยังสามารถ ใช้ทำยาภายนอกได้ เช่น ช่วยป้องกันยุงกัด รักษาบาดแผล เป็นต้น
ดังนั้น น้ำสมุนไพรจึงเป็นน้ำดื่มที่ได้จากการใช้ส่วนประกอบต่าง ๆ ของพืช เช่น ผลไม้ ผัก/ธัญพืชต่าง ๆ นำมาแปรรูปให้เหมาะสมตามฤดูกาล การเตรียมนำสมุนไพรไว้ดื่มเองนั้น ราคาจะย่อมเยา สะอาด ปราศจากสารพิษ รสชาติจะถูกปากของแต่ละบุคคลได้ทั้งกลิ่นและรสตามธรรมชาติของสมุนไพร นั้น ๆ
ร่างกายของคนเรามีส่วนประกอบของน้ำประมาณร้อยล 80 น้ำจึงมี ความสำคัญต่อการดำรงชีวิตรองจากอากาศ ร่างกายต้องใช้น้ำไปช่วยให้ระบบ ต่างๆในร่างกายทำงานได้ตามปกติน้ำในร่างกายจะมีการสูญเสียวันละประมาณ 2 - 3 ลิตร ถ้าเราไม่ดื่มน้ำเข้าไปชดเชย จะทำให้เกิดการกระหายน้ำ ฉะนั้นเรา จึงต้องดื่มน้ำเข้าไปทดแทนเท่ากับที่เสียไป แต่ในบางครั้งความกระหายทำให้ คนยังยึดติดในรสชาติ จึงมักหันไปดื่มน้ำที่ให้รสชาติ เช่น น้ำสมุนไพรซึ่งมี ประโยชน์ทางยา มีคุณค่าทางอาหารและช่วยในการป้องกันโรค เป็นต้น โดย เฉพาะในช่วงอากาศร้อน เหงื่อออกมาก ดื่มน้ำสมุนไพรก็จะช่วยให้จิตใจชุ่มชื่น ทำให้รู้สึกสบาย เพราะน้ำสมุนไพรบางชนิดสามารถช่วยผ่อนคลายความร้อน ทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง เช่น น้ำมะขาม ช่วยลดอาการกระหายน้ำ น้ำ สมุนไพรบางชนิดช่วยบำรุงหัวใจเป็นยาเย็น ได้แก่ น้ำใบเตย น้ำใบบัวบก น้ำ สมุนไพรบางชนิดมีคุณสมบัติช่วยย่อยช่วยทำให้ธาตุปกติและฟอกเลือดได้แก่ น้ำมะเขือเทศ เป็นต้น น้าสมุนไพรเหล่านี้ เป็นได้ทั้งอาหารและให้คุณค่าทาง ยาได้บ้างเล็กน้อย ดังนั้น น้ำสมุนไพรจึงเปรียบเสมือนยาที่ช่วยบำรุง ปกป้อง รักษาสภาวะร่างกายให้เกิดสมดุลย์ ทำให้สุขภาพดีในที่สุด น้ำสมุนไพรมีรสชาติที่อร่อยตามธรรมชาติให้คุณค่าและประโยชน์ต่อ ร่างกายโดยตรง มีผลต่อระบบการย่อยอาหาร เจริญอาหาร ให้พลังงาน ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ร่างกายกระชุ่มกระชวย และอุดมไปด้วย วิตามิน เกลือแร่ นอกจากผิวพรรณแล้ว ยังช่วยบำรุงเส้นผมช่วยควบคุมไขมันส่วนที่ เกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสารอาหารในน้ำสมุนไพรช่วยควบคุมระบบการทำงานของร่างกาย ทำ ให้สารอาหารชนิดอื่นได้ประโยชน์อย่างเต็มที่การเตรียมนำสมุนไพร เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างแท้จริง ควรคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
1. การเลือกสมุนไพร
1.1 สมุนไพรสด เลือกที่สด เก็บมาจากต้นใหม่ ตามฤดูกาล สีสรรเป็นธรรมชาติตามชนิดของสมุนไพร ไม่มีรอยช้ำเน่าเสีย ความสดทำให้มี รสชาติดี มีคุณค่ามากกว่า
1 2 สมุนไพรแห้ง การแปรรูปสมุนไพร โดยวิธีทำให้แห้ง เป็น การเก็บรักษาสมุนไพรวิธีหนึ่ง เพื่อให้มีสมุนไพรไว้ใช้นอกฤดูกาล การเลือกซื้อ ควรดูที่ความสะอาด สีสรรไม่คล้ำมาก เช่น กระเจี๊ยบแห้ง ควรมีสีแดงคล้ำ แต่ไม่ดำ มะตูมแห้งสีน้ำตาลออกเหลือง จะต้องไม่มีกลิ่นของปัสสาวะ หรือ อุจจาระสัตว์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้รูป รส กลิ่น สี ของน้ำสมุนไพรเปลี่ยนไป
2. ความสะอาดของภาชนะและสมุนไพร
2.1 ภาชนะที่ใช้เตรียม จะต้องสะอาด เลือกใช้ให้เหมาะสมกับ ชนิดของสมุนไพร เช่นมะขาม มะม่วง สับปะรด เชอรี่มะเฟือง ฯลฯ มีรสเปรี้ยว ควรใช้ภาชนะเคลือบ เนื่องจากกรดที่มีอยู่ในสมุนไพรจะทำปฏิกิริยากับภาชนะ อะลูมิเนียม ทองเหลือง ทำให้รสชาติของน้ำดื่มสมุนไพรเปลี่ยนไป จะได้โลหะ หนักปนอีกด้วย
2.2 ภาชนะที่ใช้บรรจุหลังปรุงเสร็จ ควรเป็นพาชนะแก้ว เมื่อ บรรจุน้ำสมุนไพรแล้วต้องนึ่งฆ่าเชื้ออีกไม่น้อยกว่า 30 นาที เย็นแล้วจึงเก็บเข้า ตู้เย็น จะทำให้น้ำสมุนไพรเก็บได้นาน อีกทั้งทำให้ดูน่ารับประทาน และยืด เวลาการเน่าเสียเพราะไม่ได้ใส่สารกันบูด
2.3 ความสะอาดของตัวสมุนไพร ควรล้างให้ถูกวิธี ถ้าเป็น สมุนไพรแห้งจะต้องล้างอย่างน้อย 1-2 ครั้ง ถ้าเป็นสมุนไพรสด ควรล้างอย่าง น้อย 2-3 ครั้ง เพื่อป้องกันสารเคมีที่ติดมา ซึ่งสามารถลดปริมาณสาร พิษในผักและผลไม้ได้ การล้างผักและผลไม้เพื่อลดปริมาณสารพิษ ทำได้ดังนี้
- แช่น้ำสะอาด 15 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ 7-8
- ล้างด้วยน้ำโซดา 1 เปอร์เซนต์ ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ 23-61
- ให้น้ำก๊อกไหลผ่าน 2 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ 54-63
- แช่ด้วยน้ำส้มสายชู 5 เปอร์เซนต์ ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ 60-84
3. น้ำตาลหรือน้ำเชื่อมจากข้อแนะนำการบริโภคอาหารของคนไทยควรได้รับไม่เกินวันละ 2 ช้อนโต๊ะ (หนัก 30 กรัม หรือ ประมาณ 2 ช้อนคาว หรือ 6 ช้อนชา) ซึ่งรวม ถึงต่าง ๆ ด้วยการรับประทานอาหารเพื่อ
ปัจจุบันได้มีผู้คิดค้นหาวิธีการรักษาโรคต่าง ๆ โดยใช้น้ำที่ทำจากผัก ผลไม้ธัญพืชต่าง ๆน้ำสมุนไพรบางชนิดจะดื่มลำบากในช่วงแรกของการดื่มอาจ จะทำให้รู้สึกอึดอัด เนื่องจากรสชาติไม่ค่อยตรงกับรสนิยมของผู้ดื่ม แต่จะ เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น วิธีการดื่มที่ดี ควรดื่มแบบจิบช้า ๆ และควรดื่ม ทันทีที่ปรุงเสร็จ เพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารและทางยา มากกว่าปล่อยทิ้งไว้ นานแล้วดื่ม เนื่องจากจะทำให้คุณค่าลดลงนอกจากนี้ยังสามารถทำดื่มได้ทั้ง ร้อนและเย็นตามความชอบของแต่ละบุคคลการดื่มน้ำสมนไพรชนิดเดียวติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการ สะสมสารบางชนิดที่มีฤทธิ์ต่อร่างกายได้ การดื่มน้ำสมุนไพรร้อนๆที่มีอุณหภูมิ 60 ซ ขึ้นไปทำให้เยื่อบุผิวหลอดอาหารเสียสภาพภูมิคุ้มกันเฉพาะที่ และอาจ ทำให้มีการดูดซึมสารก่อมะเร็ง จุลินทรีย์ ฯลฯ ได้ง่าย
น้ำสมุนไพรเป็นน้ำดื่มแปรรูปจากผัก ผลไม้ และธัญพืช หาได้ตามฤดูกาลต่างๆ ซึ่งให้ประโยชน์ ต่อร่างกายมากมาย เช่น แก้อาการกระหายน้ำ ทำให้ ร่างกายกระชุ่ม กระชวย มีชีวิตชีวา และช่วยลดสารจากร่าง กาย เป็นต้น การดื่มน้ำสมุนไพร ควรดื่มจากน้ำ สมุนไพรที่ทำขึ้นเอง เพราะสะอาดถูกสุขลักษณะ รสชาติถูกปากและประหยัดอีกด้วย นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำสมุนไพรให้หลากหลาย เหมาะสมกับ สภาวะร่างกาย และความต้องการของแต่ละ บุคคล ก็จะช่วยให้ร่างกายเกิดสภาวะสมดุลย์ ทำให้สุขภาพดีในที่สุด
สูตรทำน้ำสมุนไพร
น้ำกระเจี๊ยบ
ส่วนผสม
- กระเจี๊ยบแห้ง 1/2 ถ้วย - น้ำตาลทราย 2 ถ้วย
- เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ - น้ำสะอาด 5 ถ้วย
วิธีทำ
1.ล้างกระเจี๊ยบ 1 ครั้งให้สะอาดพักไว้
2.ใส่น้ำลงในหม้อ ตั้งไฟพอเดือด ใส่กระเจี๊ยบต้มจนออกสีแดงและเนื้อกระเจี๊ยบนุ่ม กรองเอาแต่น้ำ ขึ้นตั้งไฟต่อ
3.ใส่น้ำตาล เกลือป่น เคี่ยวไฟอ่อน จนน้ำตาลละลายหมด ยกลง ทิ้งไว้ให้ เย็น เทใส่ขวดแช่เย็น หรือใส่น้ำแข็งดื่มก็ได้
น้ำบัวบก
ส่วนผสม
- ใบบัวบก 2 ถ้วย - น้ำสะอาด 2 ถ้วย
- น้ำเชื่อม 1/2 ถ้วย - น้ำแข็ง
วิธีทำ
นำใบบัวบกที่สดๆ ใหม่ๆ ล้างน้ำให้สะอาด แช่ด่างทับทิม 15-20 นาที ใส่เครื่องปั่น เติมน้ำพอควร กรองด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำเชื่อมพอหวาน ชิมรสตามใจชอบ จะได้น้ำใบบัวบกสีเขียวใส น่ารับประทาน เมื่อจะดื่มใส่น้ำแข็งบดละเอียด รสหอมหวานชื่นใจ ดื่มแก้อาการกระหายน้ำ
น้ำมะนาว
ส่วนผสม
- น้ำมะนาว 1 ถ้วย - น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
- เกลือป่น 1/2 ช้อนชา - น้ำสะอาด 1 ถ้วย
วิธีทำ
1.ทำน้ำเชื่อม โดยผสมน้ำตาลและน้ำตั้งไฟให้ละลาย ทิ้งไว้ให้พออุ่นๆ
2.ใส่น้ำมะนาว เกลือ ลงในน้ำเชื่อม คนให้เกลือละลาย
3.ตักเสิร์ฟแบบอุ่นหรือเย็นก็ได้ โดยใส่น้ำแข็งลงในแก้ว เทน้ำมะนาวใส่ แต่งด้วยมะนาวฝาน และสะระแหน่
น้ำข้าวโพด
ส่วนผสม
- เมล็ดข้าวโพดสวีท 1 ถ้วย - น้ำต้มสุก
- เกลือป่น- น้ำมะนาว - น้ำเชื่อม
วิธีทำ
เลือกข้าวโพดพันธุ์ซุปเปอร์สวีทแท้ ๆ ที่ยังอ่อนอยู่และเก็บมาสด ๆ นำฝักข้าวโพดลวกน้ำแกะเมล็ดข้าวโพดออก ใส่เครื่องปั่น เติมน้ำต้มสุก ปั่นให้ละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบาง เอากากออก เติมเกลือป่น เติมน้ำมะนาว ปรับพีเอชให้ได้ ประมาณ 6.5-6.8 เติมน้ำเชื่อม ชิมรส ดูตามใจชอบ กรองด้วยผ้าขาวบางอีกครั้งหนึ่ง ใช้ดื่มได้
น้ำกล้วยหอม
ส่วนผสม
- กล้วยหอมหั่นท่อนสั้น 1 ถ้วย - นมสด 3 ช้อนโต๊ะ - น้ำเชื่อม 1/2 ถ้วย
- เกลือป่น 1/4 ช้อนชา - น้ำต้มสุก 1 ถ้วย - น้ำแข็งบด 1 ถ้วย
วิธีทำ
1.ใส่กล้วยหอม นมสด น้ำเชื่อม เกลือป่น น้ำแข็ง และน้ำต้มลงในโถปั่น ปั่นให้เข้ากันดี
2.เทใส่แก้วทรงสูง เสริ์ฟพร้อมหลอด ดูดและไม้คน หรือแช่เย็นไม่ใส่น้ำแข็ง

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

Big ben
บิ๊กเบน ตึกสภา เวสต์มินสเตอร์ ทั้งหมดคือ สัญลักษณ์ของลอนดอนที่ไม่เคยเสื่อมความสำคัญ ตัวบิ๊กเบนและอาคารรัฐสภาตั้งอยู่ริมแม่น้ำเทมส์ ขณะนี้กำลังขัดสีฉวีวรรณเป็นการใหญ่จึงเห็นเป็นสีทองอร่าม ไม่ดำหม่นมัวด้วยคราบเขม่าควันและการเวลาเหมือนในอดีต มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์กำลังซ่อมแซมเช่นกัน เหมือนกับสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ในบริเวณใกล้เคียงที่ทำให้การเดินข้ามถนนไปมาของนักท่องเที่ยวออกจะ ลำบากไม่ใช่น้อยเลย

สะพานทาวเวอร์ (Tower Bridge)
สร้างขึ้นเหนือแม่น้ำเทมส์ โดยสะพานแห่งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นจุดชมวิว ที่มีความสูงถึง 140 ฟุต เท่านั้น แต่ภายในของฐานสะพาน ที่ถูกสร้างขึ้นให้มีลักษณะเป็นหอสูง ยังเป็นที่ที่จัดนิทรรศการ เกี่ยวกับประเทศอังกฤษ จนถึงมีจัดแสดงห้องอบไอน้ำสมัยวิกตอเรียนด้วย


London Eye
บริติช แอร์เวยส์ ลอนดอน อาย (British Airways London Eye) กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอังกฤษไปซะแล้ว สำหรับบริติช แอร์เวยส์ ลอนดอน อาย ที่สร้างขึ้นเพื่อรับปี สหัสวรรษ 2000 โดยสายการบินบริติช บริติช แอร์เวยส์ ลอนดอน อาย เป็นจุดชมวิว ที่มีลักษณะเป็นกงล้อหมุน มีความสูง 135 เมตร จุดชมวิวนี้ สร้างขึ้นภายใต้แนวความคิด อากาศ น้ำ พื้นโลก และเวลา


Buckingham Palace
เป็นพระราชวังที่สำคัญของอังกฤษที่สามารถเปิดให้คนเข้าชมได้ ซึ่งภายในพระราชวังจะมีห้องต่างๆ ที่น่าสนใจที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี อาทิ ห้องบังลังก์ของกษัตริย์ ห้องแกลลอรี่ ห้องเสวยพระกระยาหาร ซึ่งห้องต่างๆ เหล่านี้ ได้รับการตกแต่งอย่างงดงามและอลังการ นอกจากนี้ ภายในพระราชวังยังมีสวนที่ได้รับการตกแต่งอย่างดี เหมาะแก่การเดินชมวิวเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญ คือ การผลัดเปลี่ยนเวร(Changing the Guard) การผลัดเปลี่ยนเวรจะมีขึ้นที่บริเวณ พระราชวังบักกิ้งแฮม โดยจะเริ่มแสดงเวลา 11.30 น . และจะใช้เวลาแสดงทั้งหมด 40 นาที แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ ในวันที่มีเหตุการณ์สำคัญของเมือง การผลัดเปลี่ยนเวรอาจจะงดได้ในวันที่ฝนตก


View Larger Map

ท่านสามารถดาวโหลดข้อมูลในรูปแบบ Microsoft Wordได้ที่
http://th.upload.sanook.com/A0/070b98ca14404587afb6f1dfdd30527a

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

ภาวะโลกร้อน (Global Warming)

ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จากอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้มาจาก ก๊าซเรือนกระจกค่ะ (Greenhouse gases) ปรากฏการณ์เรือนกระจกมีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์หรือมีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในโลกไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของเรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี ซึ่งคาร์บอนไดออกไซด์ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็นภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเรา
เอง

ผลกระทบ
ด้านนิเวศวิทยา
แถบขั้วโลกได้รับผลกระทบมากสุดและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาน้ำแข็ง ก้อนน้ำแข็งจะละลายอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำทะเลทางขั้วโลกเพิ่มขึ้น และไหลลงสู่ทั่วโลกทำให้เกิดน้ำท่วมได้ทุกทวีป นอกจากนี้จะพลอยทำให้สัตว์ทางทะเลเสียชีวิตเพราะระบบนิเวศเปลี่ยนแปลง ส่วนทวีปยุโรป ยุโรปใต้ภูมิประเทศจะกลายเป็นพื้นที่ลาดเอียงเกิดความแห้งแล้งในหลายพื้นที่ปัญหาอุทกภัยจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากธารน้ำแข็งบนบริเวณยอดเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหิมะจะละลายจนหมด ขณะที่เอเชียอุณหภูมิจะสูงขึ้นเกิดฤดูกาลที่แห้งแล้ง มีน้ำท่วม ผลิตผลทางอาหารลดลง ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นสภาวะอากาศ แปรปรวนอาจทำให้เกิดพายุต่างๆมากมายเข้าไปทำลายบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชน ซึ่งปัจจุบันก็เห็นผลกระทบได้ชัดไม่ว่าจะเป็นใต้ฝุ่นกก แต่แถบทวีปอเมริกาเหนืออุตสาหกรรมการผลิตอาหารจะได้รับผลประโยชน์เนื่องจากอากาศที่อุ่นขึ้น พร้อม ๆ กับทุ่งหญ้าใหญ่ของแคนาดาและทุ่งราบใหญ่สหรัฐอเมริกาจะล้มตายเพราะความแปรปรวนของอากาศส่งผลต่อสัตว์ นักวิจัยได้มีการคาดประมาณอุณหภูมิผิวโลกในอีก100 ปีข้างหน้า หรือประมาณปี 2643 ว่า อุณหภูมิจะสูงขึ้นจากปัจจุบันราว 4.5 องศาเซลเซียส เนื่องจากคาดการณ์ว่า จะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึงร้อยละ 63 และก๊าซมีเทนร้อยละ 27 ของก๊าซเรือนกระจก สำหรับประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 1 องศาเซลเซียสในช่วง 40 ปี อย่างไรก็ตามหากอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น 2- 4 องศาเซลเซียส จะทำให้พายุไต้ฝุ่นเปลี่ยนทิศทาง เกิดความรุนแรงและมีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-20 ในอนาคต นอกจากนี้ ฤดูร้อนจะขยายเวลายาวนานขึ้น ในขณะที่ฤดูหนาวจะสั้นลง


ด้านเศรษฐกิจ
รัฐที่เป็นเกาะเล็ก ๆ ของทวีปอเมริกาจะได้รับผลจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นกัดกร่อนชายฝั่ง จะสร้างความเสียหายแก่ระบบนิเวศ แนวปะการังจะถูกทำลาย ปลาทะเลประสบปัญหา เนื่องจากระบบนิเวศที่แปรเปลี่ยนไป ธุรกิจท่องเที่ยวทางทะเลที่สำคัญจะสูญเสียรายได้มหาศาล นอกจากนี้ ในเอเชียยังมีโอกาสร้อยละ 66-90 ที่อาจเกิดฝนกระหน่ำและมรสุมอย่างรุนแรง รวมถึงเกิดความแห้งแล้งในฤดูร้อนที่ยาวนาน ทั้งนี้ ในปี 2532-2545 ประเทศไทยเกิดความเสียหายจากอุทกภัย พายุ และภัยแล้ง คิดเป็นมูลค่าเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่า 70,000 ล้านบาท รายงาน " Global Deserts Outlook" ของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน ชี้ว่า ภายใน 50 ปีข้างหน้า ระบบนิเวศวิทยาทะเลทรายจะเปลี่ยนแปลงไปทั้งด้านชีววิทยา เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ปัจจุบันพืชและสัตว์ทะเลทราย คือแหล่งทรัพยากรมีคุณค่าสำหรับผลิตยาและธัญญาหารใหม่ๆ ที่ทำให้ไม่ต้องสิ้นเปลืองน้ำและยังมีช่องทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ เช่น การทำฟาร์มกุ้งและบ่อปลาในทะเลทรายรัฐอาริโซนาและทะเลทรายเน เจฟในอิสราเอล อย่างไรก็ตาม ทะเลทรายที่มีอยู่ 12 แห่งทั่วโลก กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ไม่ใช่เรื่องการขยายตัว แต่เป็นความแห้งแล้งเนื่องจากโลกร้อน ธารน้ำแข็งซึ่งส่งน้ำมาหล่อเลี้ยงทะเลทรายในอเมริกาใต้กำลังละลาย น้ำใต้ดินเค็มขึ้น รวมทั้งผลกระทบที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งหากไม่มีการลงมือป้องกันอย่างทันท่วงที ระบบนิเวศวิทยาและสัตว์ป่าในทะเลทรายจะสูญหายไปภายใน 50 ปีข้างหน้า ในอนาคตประชากร 500 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในเขตทะเลทรายทั่วโลกจะอยู่ไม่ได้อีกต่อไป เพราะอุณหภูมิสูงขึ้นและน้ำถูกใช้จนหมดหรือเค็มจนดื่มไม่ได้


ด้านสุขภาพ
ภาวะโลกร้อนไม่เพียงทำให้ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงไป แต่มีสิ่งซ่อนเร้นที่แอบแฝงมาพร้อมปรากฏการณ์นี้ว่าด้วยโลกร้อนขึ้น จะสร้างสภาวะที่พอเหมาะพอควรให้เชื้อโรคเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เดวิท พิเมนเทล นักนิเวศวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยคอร์แนลในอเมริกา ระบุว่าโลกร้อนขึ้นจะก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การฟักตัวของเชื้อโรคและศัตรูพืชที่เป็นอาหารของมนุษย์บางชนิด โรคที่ฟักตัวได้ดีในสภาพร้อนชื้นของโลก จะสามารถเพิ่มขึ้นมากในอีก 20 ปีข้างหน้า ทั้งจะมีการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นในโรคมาลาเรีย ไข้ส่า อหิวาตกโรค และอาหารเป็นพิษ นักวิทยาศาสตร์ในที่ประชุมองค์การอนามัยโลก และ London School of Hygiene and Tropical Medicine วิทยาลัยศึกษาด้านสุขอนามัยและเวชศาสตร์เขตร้อนของอังกฤษ แถลงว่า ในแต่ละปีประชาชนราว 160,000 คนเสียชีวิตเพราะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ตั้งแต่โรคมาลาเรีย ไปจนถึงการขาดแคลนสุขอนามัยที่ดี และตัวเลขผู้เสียชีวิตนี้อาจเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าตัวในอีก 17 ปีข้างหน้า แถลงการณ์ของคณะแพทย์ระดับโลกระบุว่า เด็กในประเทศกำลังพัฒนาจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมากที่สุด เช่นในประเทศแถบแอฟริกา ละตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จะต้องเผชิญกับการแพร่ขยายของการขาดแคลนสุขอนามัยโรคท้องร่วง และโรคมาเลเรีย ท่ามกลางอุณหภูมิโลกร้อนขึ้น น้ำท่วม และภัยแล้ง

การป้องกัน
1.ลดระยะทางที่ใช้สำหรับการขน ส่งอาหาร เนื่องจากมลพิษจากการขนส่งนั้นเป็นตัวการสำคัญมากที่สุดในการเพิ่มปริมาณ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ
ให้ เราพยายามบริโภคอาหารที่ผลิตและปลูกในท้องถิ่น จะช่วยลดพลังงานที่ใช้สำหรับ การขนส่งลงได้
2.ปิดเครื่องปรับอากาศ ในโรงแรมที่เราได้เข้าพัก พร้อมทั้งอย่าให้พนักงานนำผ้าขนหนูที่ยังไม่สกปรกมากไปซัก โดยพึงระลึกว่าเราไม่ได้ช่วยให้โรงแรมประหยัดค่าไฟฟ้า แต่เรากำลังช่วยโลกที่เราอาศัยอยู่
3.ลดระดับการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าลงแม้เพียงน้อยนิด เช่น เพิ่มความร้อนของเครื่องปรับอากาศในสำนักงานหรือที่พักอาศัยลงสักหนึ่งองศา หรือ ปิดไฟขณะไม่ใช้งานปิดฝาหม้อที่มีอาหารร้อนอยู่ หรือลดจำนวนชั่วโมงการดูโทรทัศน์หรือฟังวิทยุลง อาจลดค่าใช้จ่ายของเราไม่มากนักแต่จะส่งผลมหาศาลต่อโลก
4.Reuse นำกระดาษหรือภาชนะบรรจุอื่นๆ กลับไปใช้ใหม่ พยายามซื้อสิ่งของที่มีอายุ การใช้งานนานๆ จะช่วยลดการใช้พลังงานของโลกอย่างมากมาย
5.รักษาป่าไม้ให้ได้มากที่สุด และลดหรืองดการจัดซื้อสิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์ ต่างๆ ที่ทำจากไม้ที่ตัดเอามาจากป่า เพื่อปล่อยให้ต้นไม้และป่าไม้เหล่านี้ได้ทำหน้าที่การ เป็นปอดของโลกสืบไป
6.ลดการใช้น้ำมัน จากการขับขี่ยวดยานพาหนะ โดยปรับเปลี่ยนนิสัยการขับรถ เช่น ลดความเร็วในการขับรถลง ตรวจสอบสภาพลมในล้อรถให้เหมาะสม และค่อยๆเหยียบคันเร่งรถยนต์เมื่อต้องการเร่งความเร็ว และทดลองเดินให้มากที่สุด

การแก้ปัญหาโลกร้อน

พลังงานทดแทนใหม่
พลังงานกับการแก้ปัญหาสภาวะเรือนกระจกซึ่งทำให้โลกร้อนตลอดเวลาที่ผ่านมา เราทั้งหลายใช้พลังงานความร้อนกันเป็นอันมากซึ่งมีผลกระทบต่อโลกในทางที่เลวร้าย และยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ยากที่จะแก้ไขแล้วในขณะนี้ ถ้าพวกเราชาวมนุษย์โลกไม่หยุดการใช้พลังงานความร้อนซะตั่งแต่ตอนนี้ ก๊าซคาบอนไดออกไซด์ซึ่งลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศในสภาพเรือนกระจกนั้นจะมีอายุยืนอยู่ถึง 100 ปี ลูกหลานของเราจะเป็นผู้รับมรดกอันเลวร้ายนี้จากพวกเราซึ่งเป็นผู้กระทำ
วิธีแก้ไขอย่างได้ผล
เราต้องหยุดการใช้พลังงานความร้อนจากน้ำมัน และพลังงานทุกชนิดที่ปล่อยก๊าซคาบอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศโลก
ถ้าไม่ใช้พลังงานความร้อนแล้วจะใช้พลังงานอะไรกัน?
คำตอบคือ
ณ ตอนนี้ได้มีผู้ทำการวิจัยพลังงานทดแทนใหม่ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาใหญ่ ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ พลังงานทดแทนใหม่นี้คือ เครื่องจักรกลพลังงานความเย็น ทุกคนจะเคยได้ยินแต่เครื่องจักรกลพลังงานความร้อนกันใช่ไหมค่ะแต่นี้กลับกลายเป็น เครื่องจักลกลพลังงานความเย็น แล้วมันใช้เชื้อเพลิงหรือพลังงานอะไรกันแน่ ค่ะ เชื่อเพลิงนั้นอยู่ในรูปแบบของของเหลว ซึ่งจะต้องดูดและแยกออกมาจากอากาศ และถูกนำมาใช้กับเครื่องจักรกลแนวใหม่ ซึ่งเครื่องจักรกลชนิดนี้จะดึงดูดเอาพลังงานความร้อนจากอากาศเข้ามาและแปลเปลี่ยนไปเป็นพลังงานกล จากนั้นก็ใช้ก๊าซในอากาศที่ถูกกลั่นให้เป็นของเหลวเข้ามาทำปฏิกิริยากันภายในเครื่องจักรนั้น เครื่องจักรจะให้พลังงานกล และปลดปล่อยความเย็นออกมาทิ้งสู่ชั้นบรรยากาศโลกที่อุณหภูมิ ลบ 50 องศาC ซึ่งแน่นอนที่สุดครับ เครื่องจักรพลังงานความเย็น พลังงานทดแทนใหม่นี้จะช่วยแก้ไขปัญหาใหญ่ๆของโลกได้ถึง 2 ปัญหาเลยที่เดียว
1 สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงานเชื้อเพลิงได้ และเราจะมีพลังงานทดแทนให้ใช้กันอย่างเกินพอค่ะ
2 สามารถแก้ไขปัญหาสภาวะเรือนกระจกได้โดยสิ้นเชิง ซึ่งจะทำให้โลกเย็นลงได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ยังคงค้างอยู่ในชั้นบรรยากาศนั้นจะไม่เป็นผลอีกต่อไป

แล้วเราจะหยุดสภาวะโลกร้อนได้อย่างไร
เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงว่าเราคงไม่อาจหยุดยั้งสภาวะโลกร้อนที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ถึงแม้ว่าเราจะหยุดผลิตแก๊สเรือนกระจกโดยสิ้นเชิงตั้งแต่บัดนี้ เพราะโลกเปรียบเสมือนเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีกลไกเล็ก ๆ จำนวนมากทำงานประสานกัน การตอบสนองที่มีต่อการกระตุ้นต่าง ๆ จะต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับเข้าสู่สภาวะสมดุล และแน่นอนว่า สภาวะสมดุลอันใหม่ที่จะเกิดขึ้นย่อมจะแตกต่างจากสภาวะปัจจุบันอย่างมาก แต่เราก็ยังสามารถบรรเทาผลอันร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อให้ความรุนแรงลดลงอยู่ในระดับที่พอจะรับมือได้ และอาจจะชะลอปรากฏการณ์โลกร้อนให้ช้าลง กินเวลานานขึ้น สิ่งที่เราพอจะทำได้ตอนนี้คือพยายามลดการผลิตแก๊สเรือนกระจกลง และเนื่องจากเราทราบว่าแก๊สดังกล่าวมาจากกระบวนการใช้พลังงาน การะประหยัดพลังงานจึงเป็นแนวทางหนึ่งในการลดอัตราการเกิดสภาวะโลกร้อนไปในตัว
10 อย่างง่ายๆ แก้ปัญหาโลกร้อน
1. เปลี่ยนหลอดไฟ การเปลี่ยนหลอดไปจากหลอดไส้เป็นฟลูออเรสเซนต์หนึ่งดวง จะช่วยลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 150 ปอนด์ต่อปี
2. ขับรถให้น้อยลง หากเป็นระยะทางใกล้ๆ สามารถเดินหรือขี่จักรยานแทนได้ การขับรถยนต์เป็นระยะทาง 1 ไมล์จะปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ 1 ปอนด์
3. รีไซเคิล ให้มากขึ้นลดขยะของบ้านคุณให้ได้ครึ่งนึงจะช่วยลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ถึง 2400 ปอนด์ต่อปี
4. เช็คลมยางการขับรถ โดยที่ยางมีลมน้อย อาจทำให้เปลืองน้ำมันขึ้นได้ถึง 3% จากปกติน้ำมันๆทุกๆแกลลอนที่ประหยัดได้ จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 20 ปอนด์
5. ใช้น้ำร้อนให้น้อยลงในการทำน้ำร้อน ใช้พลังงานในการต้มสูงมาก การปรับเครื่องทำน้ำอุ่น ให้มีอุณหภูมิและแรงน้ำให้น้อยลง จะลด คาร์บอนไดออกไซด ์ได้ 350 ปอนด์ต่อปี หรือการซักผ้าในน้ำเย็น จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ปีละ 500 ปอนด์
6. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีบรรจุภัณฑ์เยอะ เพียงแค่ลดขยะของคุณเอง 10 % จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 1200 ปอนด์ต่อปี
7. ปรับอุณหภูมิห้องของคุณ(สำหรับเมืองนอก) ในฤดูหนาวปรับอุณหภูมิของ heater ให้ต่ำลง 2 องศา และในฤดูร้อน ปรับให้สูงขึ้น 2 องศา จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 2000 ปอนด์ต่อปี
8. ปลูกต้นไม้การปลูกต้นไม้ หนึ่งต้นจะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ตัน ตลอดอายุของมัน
9. ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้ ปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ใช้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับพันปอนด์ต่อปีและอย่างสุดท้าย
10. บอกเพื่อนๆของคุณเกี่ยวกับวิธีเหล่านี้ค่ะ

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

sudarat

http://koysudarat.blogspot.com

Malivan

http://malivan1012.blogspot.com

Meepooh

thitima ketkaew

http://thitimaketkaew.blogspot.com/

toonny

http://kikkyjung.blogspot.com

ann-chelseaict

http://ann-chelseaict.blogspot.com

paweena

http://paweena770.blogspot.com

karnjana

http://martpudnoi.blogspot.com

Dek-History

http://history-hi.blogspot.com

ศิริวรรณ

http://blusiriwan.blogspot.com

narakorn4

http://narakorn4.blogspot.com

sukontip

http://sukontip.blogspot.com

moomodx

http://moomodx.blogspot.com

komechalee

http://komechalee.blogspot.com

savitree1102

http://savitree1102.blogspot.com

namaing

http://namaing.blogspot.com

Chadapon

http://maing.blogspot.com

sunisakulak

http://sunisakulak.blogspot.com

kunlaya321

http://kunlaya321.blogspot.com

puilouisenaluk

http://puilouisenaluk.blogspot.com

yamasoon14

http://yamasoon14.blogspot.com

Phanomai

http://phanomai.blogspot.com

Ploy

http://ployniiz.blogspot.com

oh

http://santisook-pakwised.blogspot.com

ohMoChang

http://kukkik0924.blogspot.com

Patchareeya

http://patchareeyakaewpikul.blogspot.com

Sudaphon

http://sudaphon.blogspot.com

wanida

http://nussa-wanida.blogspot.com

NT-L-PK

http://taew121132.blogspot.com

poom

http://singsongman.blogspot.com

namfon

http://numfongis.blogspot.com

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552

ข้อมูลส่วนตัว



ชื่อ : นางสาวเอมอร ปัจจังคะถานัง
เกิด : วันจันทร์ ที่ 5 เดือนกันยายน พ.ศ 2531
อายุ : 20 ปี
ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่สาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ (BT)
คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
รหัสนิสิต : 50010812226
ที่อยู่ปัจจุบัน : 46/3 บ้านทองหลาง ต.โคกสีทองหลาง อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม 44120
คติ : พยายามเพื่อความสำเร็จ
สีที่ชอบ : ฟ้า ชมพู เขียวอ่อน
ศิลปินที่ชอบ : พี่แบงค์ วงClash
อาหารสุดโปรด : ข้าวผัด ส้มตำ ไก่ย่าง
งานอดิเรก : อ่านหนังสือ ดูทีวี นอน
E-mail : yong_bt2226@hotmail.com
Gmail : yongpuy9@gmail.com

อยากให้อ่าน
จะเก็บความเป็นเพื่อน

ให้เหมือนกับที่เคยเริ่มไว้

จะกอบเก็บความเข้าใจ

เป็นสายใยแห่งความผูกพัน

Youtube

Picasa

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552